|
๑. มีศีลเป็นรากแก้ว ไม่คลอนแคลน
๒. มีความอดทนเป็นทัพหน้า
๓. เอาความเพียรเป็นกองหนุน
๔. เอาสติปัญญาเป็นผู้ควบคุมดูแล เป็นทัพหลัง
เกิดมาถ้าไม่แก้ไข ก็เสียชาติที่เราเกิดมาเป็นคน
|
|
เราเกิดมาทุกวันนี้ ไม่รู้ตัวเลยกลัวแต่ผีมันหลอก
ไม่เคยรู้เลยว่า กิเลสมันหลอกอยู่ทุกวันทุกคืน
กิเลสน่ากลัวกว่าผีหลอก หลอกอย่างหน้าตาเฉย
ความจริงมันบอกว่าไม่จริงอยู่อย่างละเมอเพ้อฝัน
คิดแต่ว่าฉันไม่แก่ ฉันไม่เจ็บ ฉันไม่ตาย
ไม่เคยเห็นได้ตามความเป็นจริงเลย
ฉันเป็นคนทำบุญ แต่ฉันไม่เคยละบาป
กายกรรมฉันไม่รู้ วจีกรรมก็ไม่รู้ มโนกรรมฉันไม่รู้
ไปที่ไหนก็เอาทิฐิมานะ หัวโขนมากัดกินใจตัวเอง
กัดตัวเองยังไม่พอ เอาไปกัดคนอื่นอีก
ไม่เคยรู้ได้ตามความ เป็นจริงเลย
|
|
เราพูดกันเสมอว่าเรารู้จักคนอื่น
ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง เราอย่างหวังว่าจะรู้จักคนอื่นเลย
|
|
กิเลสมันเป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล
กิเลสไม่เคยมี วันเสาร์ วันอาทิตย์
กิเลสมันไม่มีเวลาหลับนอน นอนก็ยังฝัน
หาแต่เรื่องมาทำร้ายใจตัวเอง
ตัวเรามองเราไม่ออก ไม่เคยรู้จักหันใจมาดูใจ
ดูออกแต่นอก ตัวเองหมด
|
|
ทำอย่างไรภาชนะ เราจะหงายได้
ลดความหลงลงเสียได้บ้าง
บางคนหลงจนไม่รู้ บางคนรู้จนหลง
|
|
คนโบราณพูดว่า มัวอยู่นั้นแหละ
คนมัว คือ คนใกล้จะมืด มืดตาใสใสนั้นแหละ
ถ้าตาไม่สว่าง ก็เหมือนปลาที่ใกล้จะตาย
เราจะเป็นปลาตาย หรือ จะเป็นปลาเป็น
|
|
นั่งอ่านหนังสือกับนั่งอ่านใจ อย่างไหนยากกว่ากัน
อ่านหนังสือเก่ง ก็สู้อ่านใจตัวเองเก่งไม่ได้
|
|
หลงอะไรก็ไม่เท่ากับหลงตัวเอง
|
|
เกิดก่อนรู้ หรือรู้ก่อนเกิด ถ้ารู้คงไม่เกิดที่เกิดคือไม่รู้
|
|
งานอะไร ไม่หนักเท่ากับงานละกิเลส
ทุกข์อะไรก็ไม่เท่ากับทุกข์ใจ
ใจเป็นของหนักที่สุดยิ่งกว่า หาบหามของหนัก |
|
กิเลสของเราถ้ามีปัญญาเข้ามาซักฟอก ถึงจะเห็็นตามความเป็นจริงได้
|
|
คนเราไม่เคยเลยที่จะตื่นอยู่
ที่เราอยู่กันนี้อยู่อย่างอมทุกข์
ไม่เคยอยู่อย่างเห็นทุกข์
ทุกข์เป็นของทนได้ยาก
อยากจะสบายก็ต้องหยุดอยาก
หยุดอยากต้องใช้ปัญญาเห็นตามความเป็นจริง
เห็นตามความเป็นจริงไม่ใช่ความจำ
ถ้าความจำ คือ ความหลง
ความฉลาดไม่มีใครฉลาดเกิดคน
ความจนไม่มีใครจนเกินสุนัข
จนไม่พอแต่ยังอาภัพอีกด้วย
|
|
จะถอดถอนกิเลสต้องใช้สติปัญญา
หาอะไรก็ไม่ยากเท่าหาตัวตน
เพราะเราไม่เคยหาตัวเราเลย หาแต่คนอื่น
|
|
จะปราบกิเลสทุกประเภทต้องใช้สติปัญญา
ปฏิปทาจะใช้ได้ในระดับไหน
ก็ต้องตามภูมิปัญญาของตนเอง
ภูมิปัญญาหรือภูมิธรรมของคนไม่เท่ากัน
|
|
คิดก่อนทำหรือทำก่อนคิด
เราปฏิบัติต้องดูกาย ดูใจให้เป็น
ส่วนมากจะดูไม่เป็น
คำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่
ครูบาอาจารย์ก็มีอยู่ หูตาเราก็มี
มัวทำอะไรกันอยู่ มันถึงไม่ซึมซับบ้างเลย
ฉันก็เป็นคนหนามาเหมือนกัน มาพากเพียรมากขึ้น
กิเลสมันก็ไม่หน้าด้านอยู่
เรานักปฏิบัติ ปฏิบัติเหมือน ทัพพีขวางหม้อแกง
ยิ่งปฏิบัติกิเลสมันก็ยิ่งพอกพูนมากขึ้น
กิเลสมันหน้าด้านขนาดไหน ยิ่งอยู่ ก็ยิ่งมาก
เอามาขวิดคนนั้น คนนี้ อยู่ไม่เป็นสุข มึงว่ากู กูว่ามึง
เป็นเหมือนคนชาวบ้าน มึงดีกว่ากู กูดีกว่ามึง
ไม่อายใจบ้าง นั่งที่ไหนก็นินทากันเอง
ไม่อายผ้าขาวที่เราใสบ้างเลย
ศีลว่ากันทุกวัน กรรมบถสิบว่ากันทุกวัน
ว่าแต่ไม่เอามาใช้บ้างเลย ว่าทำไม ไม่อายนกแก้วนกขุนทองบ้างหรือไง
|
|
ธรรมะคือธรรมชาติของใจ
เราไม่รู้จักใจ เราจึงไม่รู้ธรรมะ
ทุกอิริยาบถของกายและจิต
เราต้องมีสติรู้ทัน
นี่แหละการปฏิบัติตามดูให้ทัน ของไม่ยาก
จิตเราเหมือนหมาถูกน้ำร้อนลวก
จิตเหมือนหนู รู้เหมือนแมว
เราจิตออกนอกตลอด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ใช่กิเลส
กิเลสอยู่ที่ใจ ถ้าเราไม่รู้จักใจ เราก็ไม่รู้จักกิเลสเรา
เราจะคอยใครช่วยเราอยู่
อยู่กันทุกวันคิดแต่ว่าบุญจะช่วย
ถ้าเราไม่ช่วยตัวเอง บุญอยู่ที่ไหน
บุญอยู่ที่การกระทำทุกวันทุกคืน เราทำบุญหรือบาป
|
|
ธรรมะคือกายกับใจ เราตามดูกาย ดูใจ
เราถึงจะเกิดปัญญา จิตเรามันหลงอารมณ์
เรานี้คิดจนไม่รู้ จิตส่งออกดูไม่ทัน
เราปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติธรรม คือ ปฏิบัติการงานของเรา
คือชีวิตประจำวัน
ส่งออกให้รู้ทัน...
|
|
เรานักปฏิบัติถ้ายังละวางไม่ได้ก็อายนก นกมันกินผลไม้แล้วมันก็บินไป
มันไม่เคยหวงว่าเป็นของมัน อิ่มแล้วก็บินไป
คนเราน่าจะอายนก มีอะไรก็ว่าของกูอยู่นั่นแหละ
คนเราที่หลงมากที่สุดคือหลงคนที่เรารัก กับคนที่เราเกลียด
หลงความคิดตัวเองว่า ความคิดเป็นเรา เราเป็นความคิด
ใจเราถ้ารู้ไม่ทันใจ เราก็อยากอยู่นั่นแหละ
หลงกายหลงใจตัวเอง...
|
 "ขอบใจนะจ๊ะ ที่หยิบมาอ่าน" แม่ไน้ แช่มช้อย
|